AAH

AAH #0105558015348 ขับเคลื่อนสิทธิ์ นวัตกรรม และอนาคต Driving Rights, Innovation, and the Future

Pages

  • Home
  • Our Group
  • ABOUT US
  • Sponsor Us ลงโฆษณากับเรา
  • AAG ATALL GROUP มูลค่า กลุ่มบริษัท

Saturday, May 15, 2021

Future of work after covid

 


at May 15, 2021
Email ThisBlogThis!Share to XShare to FacebookShare to Pinterest
Newer Post Older Post Home

ASW ATALL SPONSOR WORLD

ASW ATALL SPONSOR WORLD

AAH & ENG

  • AAH & ENGINEERING
  • ถือสิทธิ์ในผลงานทางวิศวกรรม
  • พัฒนาและถือสิทธิ์ "Engineering Value Chain"
  • พัฒนา IP & License ทางวิศวกรรม
  • สนับสนุน R&D ทางวิศวกรรม
  • ระบบสร้างบุคลากรด้านวิศวกรรม (AHC)
  • ถือหุ้นในบริษัทด้านวิศวกรรมอื่นในเครือ

ATALL WEBINAR

ATALL WEBINAR

ALIP Model business

ALIP Model business

AAH WEBINAR

AAH WEBINAR

AAH LEARNING & TRAINING

AAH LEARNING & TRAINING

AWW ATALL WEBINAR WORLD

  • AWW ATALL WEBINAR WORLD

ATALL R&D

ATALL R&D


AAG SG ATALL GROUP SINGAPORE

AAG SG ATALL GROUP SINGAPORE

Line

Line
  • AAH WEBINAR STRATEGY
  • ยุทธศาสตร์ร่วมทุนไทยจีน
  • Jv ppt

SEZ& HYBRID PARK

SEZ& HYBRID PARK

Tech Franchise

Tech Franchise

อนาคต

การคาดการณ์ธุรกิจที่ "รวยสุด" ในอีก 10 ปีข้างหน้า ขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และพฤติกรรมผู้บริโภค แต่ธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูงและสร้างกำไรมหาศาล ได้แก่: 1. AI & Automation (ปัญญาประดิษฐ์และระบบอัตโนมัติ) AI as a Service (AIaaS): การให้บริการ AI บนคลาวด์ เช่น OpenAI, Google AI Automation & Robotics: หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรม การแพทย์ และบริการลูกค้า AI-driven Healthcare: AI วิเคราะห์โรค แนะนำการรักษา ลดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ 2. Biotech & HealthTech (เทคโนโลยีชีวภาพและสุขภาพ) Gene Editing (CRISPR): ธุรกิจพัฒนาวิธีแก้ไขยีนเพื่อรักษาโรค Personalized Medicine: ยาตาม DNA และสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล Anti-Aging & Longevity: ธุรกิจชะลอวัยและยืดอายุมนุษย์ 3. Renewable Energy & EV (พลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้า) Solar, Wind, Hydrogen Power: ธุรกิจพลังงานสะอาดที่รัฐบาลสนับสนุน EV & Battery Tech: แบตเตอรี่โซลิดสเตต เทคโนโลยีชาร์จเร็ว Energy Storage & Smart Grid: ระบบกักเก็บพลังงานและโครงข่ายพลังงานอัจฉริยะ 4. Space Economy (เศรษฐกิจอวกาศ) Satellite Internet (เช่น Starlink, OneWeb): การสื่อสารผ่านดาวเทียม Space Tourism: การท่องเที่ยวอวกาศ เช่น SpaceX, Blue Origin Asteroid Mining: การขุดแร่จากอุกกาบาต เช่น Rare Earth สำหรับ AI & EV 5. FinTech & Decentralized Finance (การเงินดิจิทัลและการเงินแบบกระจายศูนย์) Crypto & Web3: บล็อกเชน NFT และเศรษฐกิจดิจิทัลใหม่ AI Trading & Robo-Advisors: AI ช่วยจัดการพอร์ตการลงทุน CBDC & Digital Payment: เงินดิจิทัลของรัฐและการชำระเงินแบบไร้เงินสด 6. Metaverse & Virtual Economy (เมตาเวิร์สและเศรษฐกิจเสมือน) Virtual Real Estate: ซื้อขายที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในโลกเสมือน VR & AR Content: ธุรกิจผลิตคอนเทนต์ในเมตาเวิร์ส Digital Fashion & NFT Assets: เสื้อผ้าและสินค้าดิจิทัล 7. Smart Agriculture & FoodTech (เกษตรอัจฉริยะและเทคโนโลยีอาหาร) Lab-Grown Meat: เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงในห้องแล็บ Precision Farming: เกษตรกรรมแม่นยำด้วย AI & IoT Alternative Proteins: โปรตีนจากแมลง สาหร่าย และพืช 8. Cybersecurity & Data Privacy (ความปลอดภัยไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล) AI Cyber Defense: การป้องกันแฮกเกอร์ด้วย AI Zero Trust Security: ระบบป้องกันข้อมูลขั้นสูง Personal Data Monetization: แพลตฟอร์มให้ผู้ใช้ขายข้อมูลของตัวเอง 9. Smart Cities & Real Estate Tech (เมืองอัจฉริยะและเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์) Autonomous Transport: รถไร้คนขับและโลจิสติกส์อัจฉริยะ IoT Infrastructure: อาคารอัจฉริยะที่จัดการพลังงานได้เอง Real Estate Tokenization: อสังหาฯ บนบล็อกเชนที่เข้าถึงนักลงทุนรายย่อย 10. Personalized Education & EdTech (การศึกษาเฉพาะบุคคลและเทคโนโลยีการศึกษา) AI Tutors: ครูสอนพิเศษ AI สำหรับทุกวัย Microlearning & Skill-Based Learning: คอร์สเรียนสั้นที่พัฒนาทักษะเฉพาะทาง VR/AR Learning: เรียนรู้ผ่านเมตาเวิร์สและโลกเสมือน สรุป ถ้าเน้น เทคโนโลยีและพลังงาน → AI, Biotech, EV, Space ถ้าเน้น การเงินและการลงทุน → Crypto, FinTech, Real Estate ถ้าเน้น สุขภาพและไลฟ์สไตล์ → Longevity, Smart Food, Cybersecurity ธุรกิจที่ "รวยสุด" ขึ้นอยู่กับโอกาสและจังหวะตลาด แต่ถ้าเลือกธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวโน้มโลก โอกาสรวยภายใน 10 ปีข้างหน้ามีสูงแน่นอน

ATALL ROBOTICS & INTELLIGENT SYSTEMS

ATALL ROBOTICS & INTELLIGENT SYSTEMS

EV & Innovation

EV & Innovation

Webinar & Education

Webinar & Education

7income

7income

ATALL MECHATRONICS

ATALL MECHATRONICS

Contact Us

Name

Email *

Message *

TIME MGT

TIME MGT

STRATEGIES BOOST SME

STRATEGIES BOOST SME

Biomedical

Biomedical

Cross Border Logistics

Cross Border Logistics

สสว

สสว
  • Google free bar code
  • THAI SME GP
  • Crypto แต่ละแบบ
  • JOINT VENTURE
  • Malaysia plan
  • Crown Funding
  • กลต crown funding
  • Trudtender
  • + Investree
  • - Society crown funding
  • - Peerflower
  • - Siam vadilus SCG
  • Bytedance
  • ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำอน่างไร ?
  • ภงด KHL
  • รายงานเครดิตบูโร
  • Fukuoka investments
  • Fukuoka Prefecture
  • พะยูง ไม้เศรษฐกิจ
  • ไม้พะยูง SIAMESE ROSEWOOD FIN FEASE 28 05 2023
  • ATALL KING ROMAN
  • กงสี1
  • FAMILY RULE & BUSINESS
  • อธิบายเศรษฐกิจโลก
  • Dynamics QR code
  • Google Map QR Code
  • หุ้นจีนในอเมริกา
  • จดทะเบียน เลิก AAE ATC
  • ขั้นตอนจดเลิกบริษัท
  • AAG SHARE HOLDER
  • สสว
  • USAID Thailand e mail contact
  • AAG แนวทางระดมทุน
  • AAG ขายสิทธิ์
  • AAG ขายสิทธิ์ได้เงินเร็วสุด
  • AAG ขายสิทธิ์ได้เงินสดเร็วสุด .ppt

WEBINAR FRANCHISE

การเลือกให้ความสำคัญระหว่าง franchise และ webinar ขึ้นอยู่กับเป้าหมายธุรกิจและกลยุทธ์ในระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้: 1. Webinar: ลักษณะการดำเนินงาน: Webinar เป็นแพลตฟอร์มการให้ความรู้หรือการฝึกอบรมผ่านทางออนไลน์ ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่จำเป็นต้องมีการตั้งฐานธุรกิจในสถานที่ต่าง ๆ จุดเด่น: ความยืดหยุ่นสูง: สามารถจัด Webinar ได้จากทุกที่ และดึงดูดผู้เข้าร่วมจากทั่วโลก ต้นทุนต่ำ: ไม่ต้องมีการลงทุนสูงในด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือสถานที่ การเข้าถึงตลาดที่กว้าง: สามารถเข้าถึงผู้เข้าร่วมจำนวนมากในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นหลักสูตรหรือเนื้อหาที่มีความเฉพาะทางและเป็นที่ต้องการ ข้อพิจารณา: การแข่งขันสูง: Webinar เป็นแพลตฟอร์มที่มีการแข่งขันสูง ดังนั้นจึงต้องมีเนื้อหาที่โดดเด่นและแตกต่าง ความสัมพันธ์กับลูกค้า: เนื่องจาก Webinar เป็นรูปแบบออนไลน์ อาจขาดความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า หากไม่มีการติดตามผลหรือบริการหลังการขาย 2. Franchise: ลักษณะการดำเนินงาน: การขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ คือการขยายฐานธุรกิจโดยการมอบสิทธิ์ให้ผู้ประกอบการรายอื่นนำชื่อแบรนด์และระบบการดำเนินงานไปใช้ โดยเจ้าของแฟรนไชส์จะได้รับค่าธรรมเนียมและค่าลิขสิทธิ์ จุดเด่น: การขยายธุรกิจที่มั่นคง: Franchise ช่วยขยายแบรนด์ในระดับพื้นที่ โดยไม่ต้องลงทุนทั้งหมดด้วยตนเอง การสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคง: ธุรกิจแฟรนไชส์มักมีการติดตามผลและมีการสร้างสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการให้บริการที่แน่นอนและต่อเนื่อง การสร้างรายได้ในระยะยาว: แฟรนไชส์ช่วยให้ธุรกิจเติบโตในระยะยาว โดยมีรายได้จากการเก็บค่าลิขสิทธิ์และการให้คำปรึกษาแก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ ข้อพิจารณา: ต้นทุนเริ่มต้นสูง: การสร้างระบบแฟรนไชส์ต้องการการลงทุนเริ่มต้นสูงเพื่อพัฒนาระบบ การวางแผน การฝึกอบรม และการจัดการการดำเนินงาน การควบคุมคุณภาพ: การควบคุมคุณภาพของสาขาแฟรนไชส์อาจเป็นเรื่องท้าทาย หากไม่ได้วางระบบที่ดี การตัดสินใจเลือกความสำคัญ: 1. ระยะสั้น: เน้น Webinar หากคุณต้องการขยายการเข้าถึงและสร้างรายได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น Webinar จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ด้วยการเข้าถึงที่กว้างขวางและต้นทุนที่ต่ำกว่าการเปิดแฟรนไชส์ คุณสามารถใช้ Webinar เพื่อสร้างฐานลูกค้าและสร้างความรู้จักกับตลาดได้อย่างรวดเร็ว 2. ระยะยาว: เน้น Franchise หากคุณมีเป้าหมายในการขยายธุรกิจในระยะยาว การขยายด้วยระบบแฟรนไชส์จะเป็นแนวทางที่สร้างรายได้ต่อเนื่องในระยะยาว รวมทั้งสร้างฐานธุรกิจที่มั่นคงในพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะหากธุรกิจของคุณมีศักยภาพที่จะขยายในระดับภูมิภาคหรือระดับประเทศ 3. กลยุทธ์ผสมผสาน: คุณสามารถใช้ Webinar เพื่อสร้างการรับรู้และฝึกอบรมลูกค้าในช่วงแรก เมื่อมีการเติบโตแล้ว จึงขยายเป็นแฟรนไชส์ เพื่อสร้างความมั่นคงและขยายตลาดต่อไป สรุป: หากคุณเน้นการสร้างฐานลูกค้าอย่างรวดเร็วและต้องการลดต้นทุนในระยะสั้น Webinar เป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากคุณต้องการสร้างความมั่นคงและการเติบโตในระยะยาว Franchise จะช่วยสร้างรายได้และความแข็งแรงให้ธุรกิจ
Copyright © ATALL HOLDING CO.,LTD. All Rights Reserved.. Simple theme. Powered by Blogger.
  • Crypto Mining : Mining Pro
  • อบรม กรรมการ

การบริหาร รายบริษัท กลุ่มบริษัท

การบริหารแบบ รายบริษัท หรือ กลุ่มบริษัท มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายธุรกิจ ลักษณะองค์กร และการดำเนินงานของแต่ละบริษัท ดังนี้: --- 1. การบริหารแบบรายบริษัท (Decentralized Management) ข้อดี: การตัดสินใจรวดเร็ว: แต่ละบริษัทสามารถปรับตัวและตัดสินใจได้ตามสถานการณ์ของตนเอง โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง ความยืดหยุ่นสูง: เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีลักษณะเฉพาะตัวในแต่ละบริษัท เช่น ขายสินค้าต่างชนิดหรือตลาดต่างกลุ่ม ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์: การบริหารแยกบริษัทช่วยให้แต่ละบริษัทสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ธุรกิจของตนเอง ความรับผิดชอบชัดเจน: ผู้บริหารในแต่ละบริษัทรับผิดชอบกำไรขาดทุนของบริษัทตัวเอง ข้อเสีย: ขาดความเป็นเอกภาพ: อาจเกิดความไม่สอดคล้องในกลยุทธ์ระหว่างบริษัทในเครือ ทรัพยากรซ้ำซ้อน: การจัดการทรัพยากรแยกกันอาจทำให้สิ้นเปลือง เช่น ระบบบัญชี การตลาด หรือการบริหารบุคคล การควบคุมยากขึ้น: หากไม่มีระบบติดตามผลที่ดี อาจเกิดการทำงานที่ไม่เป็นไปตามทิศทางของกลุ่ม --- 2. การบริหารแบบกลุ่มบริษัท (Centralized Management) ข้อดี: ประหยัดทรัพยากร: สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกัน เช่น ทีมการเงิน การตลาด และระบบไอที ช่วยลดต้นทุน สร้างเอกภาพในกลยุทธ์: การบริหารแบบกลุ่มช่วยกำหนดทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับทุกบริษัทในเครือ อำนาจต่อรองสูง: รวมศักยภาพของกลุ่มเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง เช่น ในการเจรจากับซัพพลายเออร์ การบริหารจัดการง่าย: มีระบบควบคุมและตรวจสอบที่ครอบคลุมทุกบริษัทในเครือ ข้อเสีย: การตัดสินใจช้า: การรวมศูนย์อำนาจอาจทำให้การตัดสินใจต้องผ่านหลายขั้นตอน ลดความยืดหยุ่น: แต่ละบริษัทอาจไม่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วในตลาดที่แตกต่างกัน สร้างความไม่พอใจ: การรวมศูนย์อาจทำให้บริษัทในเครือรู้สึกว่าอำนาจและอิสรภาพในการบริหารลดลง --- เลือกแบบไหนดี? 1. กรณีเหมาะกับบริหารรายบริษัท: แต่ละบริษัทในกลุ่มมีตลาด ลูกค้า หรือผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันชัดเจน ธุรกิจอยู่ในช่วงเริ่มต้น ต้องการความคล่องตัวสูง 2. กรณีเหมาะกับบริหารแบบกลุ่มบริษัท: บริษัทในกลุ่มมีความสัมพันธ์กันใน Value Chain (ห่วงโซ่คุณค่า) เช่น การผลิต การตลาด หรือการจัดจำหน่าย ธุรกิจอยู่ในช่วงขยายตัว ต้องการประสิทธิภาพและลดต้นทุน ต้องการสร้างแบรนด์ภาพรวมของกลุ่มให้แข็งแกร่ง --- คำแนะนำ: ใช้ แบบผสม โดยกำหนดส่วนกลางสำหรับกลยุทธ์สำคัญ เช่น การเงิน การตลาด และการจัดการทรัพยากร แต่เปิดโอกาสให้แต่ละบริษัทมีอิสระในการปรับกลยุทธ์ปฏิบัติตามตลาดเฉพาะของตนเอง ตั้ง Key Performance Indicators (KPIs) เพื่อวัดผลการดำเนินงานในทั้งระดับบริษัทและระดับกลุ่ม เพื่อความสมดุลในการบริหาร

สินทรัพย์ชนิดต่างๆ

สินทรัพย์ชนิดต่างๆ

robot

robot

DIGITAL BUSINESS

DIGITAL BUSINESS

บสย

บสย

GLOBAL ECONOMY

GLOBAL ECONOMY

% การถือหุ้น ใน บริษัท

การถือหุ้นในบริษัทไม่ได้มีการกำหนดขั้นต่ำทางกฎหมายว่าต้องถือหุ้นในสัดส่วนกี่เปอร์เซ็นต์ถึงจะสามารถถือหุ้นในบริษัทได้ ในทางปฏิบัติแล้วคุณสามารถถือหุ้นในบริษัทได้ตั้งแต่ 1 หุ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สิทธิในการลงคะแนนเสียงและอำนาจการควบคุมบริษัทมักขึ้นอยู่กับสัดส่วนการถือหุ้นที่ถืออยู่ โดยปกติแล้วการถือหุ้นจะมีความหมายในระดับที่แตกต่างกันตามเปอร์เซ็นต์ที่ถือ เช่น: 1. 1-4.99%: ถือว่าเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย มีสิทธิ์ในส่วนของกำไรและการออกเสียงตามสัดส่วนที่ถือ แต่ไม่มีอิทธิพลในการควบคุมการบริหารของบริษัท 2. 5%: สามารถขอเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นได้ 3. 10%: สามารถขอคำสั่งศาลในการตรวจสอบการทำงานของบริษัท 4. 25%: สามารถป้องกันไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น การเปลี่ยนแปลงข้อบังคับของบริษัท (ต้องการเสียง 75%) 5. 50% + 1 หุ้น: สามารถควบคุมการตัดสินใจในที่ประชุมผู้ถือหุ้นและควบคุมการบริหารบริษัท 6. 75%: สามารถเปลี่ยนแปลงข้อบังคับบริษัทและการตัดสินใจสำคัญ ๆ ที่ต้องใช้เสียงข้างมากพิเศษ ดังนั้น การถือหุ้นในบริษัทไม่จำเป็นต้องมีขั้นต่ำที่กำหนด แต่การถือหุ้นในสัดส่วนที่มากขึ้นจะมีสิทธิ์และอำนาจในการควบคุมบริษัทมากขึ้น

VC

VC

FAMILY OWN

FAMILY OWN